SDLC หรือ Software Development Life Cycle หรือ วงจรชีวิตซอฟต์แวร์ระยะพัฒนา คือกระบวนการพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐาน ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ จนถึงการทดสอบและการบำรุงรักษา ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถติดตามความคืบหน้า และจัดการกับปัญหาได้ง่ายมากขึ้น
เคยสงสัยไหมว่าพวกแอปฯ หรือโปรแกรม หรือระบบที่เราใช้กันทุกวันนี้ สร้างกันยังไง? มันไม่ได้เสกขึ้นมาปุ๊บปั๊บนะ! มันมีขั้นตอน มีกระบวนการที่เรียกกันเท่ๆ ว่า SDLC หรือ Software Development Life Cycle แปลเป็นไทยก็คือ “วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์” นั่นเอง
คิดง่าย ๆ เหมือนเราจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง ก็ต้องมีตั้งแต่คุยกันว่าอยากได้บ้านแบบไหน (เก็บความต้องการ) ออกแบบบ้าน (ดีไซน์) ลงมือก่อสร้าง (พัฒนา) ตรวจดูว่าแข็งแรงไหม มีตรงไหนต้องแก้หรือเปล่า (ทดสอบ) พอเสร็จก็ย้ายเข้าอยู่ (นำไปใช้งาน) แล้วก็ต้องคอยดูแลซ่อมแซมบ้านเรื่อย ๆ (บำรุงรักษา) ใช่มั้ย?
นั่นละคือ SDLC เริ่มตั้งแต่ไอเดีย จนกลายเป็นโปรแกรมเจ๋ง ๆ ให้เราได้ใช้กัน โดยมันจะแบ่งเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน ทำให้ทุกคนในทีมรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ถึงไหนแล้ว และต้องทำอะไรต่อ เหมือนมีเช็กลิสต์ให้ตรวจดูตลอดทาง
Software Development Life Cycle สำคัญอย่างไร?
ทุกคนเข้าใจตรงกัน: ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าโปรเจกต์ โปรแกรมเมอร์ หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง จะได้เห็นภาพเดียวกันว่ากำลังจะสร้างอะไร ไปถึงไหนแล้ว ไม่ต้องมานั่งงงว่า “เอ๊ะ! ตกลงจะเอาแบบไหนกันแน่?”
ประเมินโปรเจกต์ได้ง่ายขึ้น: ช่วยให้พอจะมองเห็นภาพคร่าวๆ ว่าโปรเจกต์นี้มันจะยากง่ายแค่ไหน มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ใช้เวลานานไหม จะได้วางแผนการใช้คน ใช้ของได้ถูก
คุณภาพมาเต็ม: พอมีขั้นตอนชัดเจน ก็เหมือนมีด่านตรวจคุณภาพในแต่ละขั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์ที่ออกมามันจะดีจริง ตรงตามที่เราอยากได้ (Requirement)
คนใช้แฮปปี้: ส่วนใหญ่เค้าจะให้คนที่จะใช้โปรแกรมจริงๆ เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ คอยฟังว่าอยากได้อะไร ทำให้โปรแกรมที่ออกมาตอบโจทย์คนใช้จริงๆ คนใช้ก็ชอบสิ!
ส่งงานตรงเวล: มีแผนชัดเจน ก็ช่วยให้งานเสร็จตามกำหนด ไม่ดีเลย์ แถมคุณภาพก็ยังเป๊ะเหมือนเดิม
ปกติแล้ว SDLC จะมีประมาณ 6 ขั้นตอนหลักๆ ตามนี้เลย:
- เก็บ Requirement (Requirement Analysis): คุยกันให้เคลียร์ว่าอยากได้อะไร?
- ออกแบบ (Design): ร่างแบบแปลนของซอฟต์แวร์
- ลงมือสร้าง (Development): โปรแกรมเมอร์เริ่มเขียนโค้ด
- ทดสอบ (Testing): หาจุดผิดพลาด แก้ไขให้เป๊ะ
- ปล่อยของ (Deployment): เอาซอฟต์แวร์ไปให้คนอื่นใช้จริง
- ดูแลกันยาวๆ (Maintenance): คอยแก้ไขปัญหา อัปเดตให้ทันสมัย
เอาล่ะ! ทีนี้เรามาเจาะลึกแต่ละขั้นตอนกันแบบง่ายๆ ดีกว่า

เก็บ Requirement (Requirement Analysis): คุยกันให้รู้เรื่อง!
ขั้นตอนนี้คือการทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เลยว่า “เรากำลังจะสร้างอะไร?” และ “ทำไมต้องสร้าง?” เหมือนคุยกับลูกค้าหรือคนที่จะใช้โปรแกรมว่าเค้าอยากได้อะไร ปัญหาของเค้าคืออะไร แล้วโปรแกรมของเราจะไปช่วยเค้าได้ยังไง
คำถามสำคัญที่ต้องคิด:
- ของเก่ายังดีอยู่ไหม? ถ้าโปรแกรมเดิมมันก็โอเคอยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องทำใหม่ให้เสียเวลา
- หรือแค่ซ่อมของเก่าก็พอ? บางทีโปรแกรมเดิมมันมีปัญหาแค่นิดๆ หน่อยๆ แก้ไขนิดเดียวก็ใช้ต่อได้
- หรือต้องทำใหม่ยกชุดเลย? ถ้าของเก่ามันเยินจนแก้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็คงต้องทำใหม่
สิ่งที่ต้องแยกให้ออก: “สิ่งที่อยากได้” กับ “สิ่งที่จำเป็นจริงๆ” บางทีคนอยากได้นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่พอมาดูจริงๆ แล้วอาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้นก็ได้ (อันนี้แอบกระซิบว่าบางทีผู้บริหารอยากได้ของใหม่เพราะมีเรื่อง… เอ่อ… ผลประโยชน์แอบแฝงก็มี อันนี้ก็แล้วแต่คนละกัน)
แล้วต้องดูอะไรอีกบ้าง?
- เครื่องไม้เครื่องมือ (Hardware & Software): ต้องใช้คอมแบบไหน เซิร์ฟเวอร์แรงพอไหม โปรแกรมที่ใช้เขียนต้องเป็นตัวไหน ภาษาอะไร
- งบประมาณ (Cost): ต้องใช้เงินเท่าไหร่ คุ้มกับที่จะลงทุนไหม
- คนทำงาน (Operation): ต้องใช้คนเยอะไหม มีคนดูแลระบบหรือเปล่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลระยะยาวเป็นยังไง
หัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้คือ: “คนใช้อยากได้อะไรจากระบบเรา?” และ “สิ่งที่ผู้ใช้งานอยากได้มันจำเป็นและเหมาะสมจริงๆ หรือเปล่า?”
ขั้นตอนนี้อาจจะมีการวาดรูปแผนผังง่ายๆ (เช่น DFD, ER Diagram) เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าข้อมูลมันจะวิ่งไปทางไหน มีขั้นตอนอะไรบ้าง ใครทำอะไร ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นยังไง
ออกแบบ (Design): วาดฝันให้เป็นจริง!
พอรู้แล้วว่าอยากได้อะไร ขั้นตอนนี้ก็เหมือนสถาปนิกเริ่มร่างแบบบ้านเลย คือการออกแบบหน้าตาโปรแกรม (UI) ว่าจะให้สวยงามใช้งานง่ายยังไง (UX) เมนูจะอยู่ตรงไหน ปุ่มกดแล้วจะไปหน้าไหน ข้อมูลจะแสดงผลยังไง
ส่วนหลักๆ ที่ต้องออกแบบ:
โครงสร้างระบบ (System Architecture Design):
- Monolith: เหมือนสร้างบ้านหลังใหญ่หลังเดียว ทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น เหมาะกับโปรเจกต์ไม่ซับซ้อนมาก
- Microservice: เหมือนสร้างบ้านหลังเล็กๆ หลายๆ หลังแยกกัน แล้วค่อยเชื่อมต่อกัน เหมาะกับระบบใหญ่ๆ ที่ซับซ้อน
วิธีคิดในการออกแบบโครงสร้าง:
- Business Capability: แบ่งตามความสามารถทางธุรกิจ เช่น ส่วนจัดการสินค้า ส่วนจัดการลูกค้า
- Domain-Driven Design (DDD): ออกแบบโดยเน้นให้สอดคล้องกับความซับซ้อนของธุรกิจจริงๆ
ออกแบบฐานข้อมูล (Database Design): ถ้าโปรแกรมต้องเก็บข้อมูล ก็ต้องออกแบบว่าจะเก็บใน “ตู้เก็บเอกสาร” แบบไหน
- Relational Database: เก็บข้อมูลเป็นตารางๆ เหมือน Excel มีความสัมพันธ์กันชัดเจน
- Non-Relational Database: เก็บข้อมูลแบบยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องเป็นตารางเสมอไป
ออกแบบหน้าตาและประสบการณ์ใช้งาน (UI/UX Design): ทำให้โปรแกรมสวย น่าใช้ และใช้ง่าย ไม่ใช่หาปุ่มกดยากจนท้อใจ
วางแผนการทดสอบ (Testing Plan & Design): คิดไว้เลยว่าจะทดสอบโปรแกรมยังไงบ้าง จะเช็กตรงไหน เพื่อให้มั่นใจว่ามันทำงานได้ถูกต้องจริงๆ
ขั้นตอนนี้คือการแปลงสิ่งที่ “อยากได้” (Requirement) ให้ออกมาเป็น “แบบแปลน” ที่ชัดเจน ก่อนจะลงมือสร้างจริง
ลงมือสร้าง (Development): โปรแกรมเมอร์ลุย!
ถึงเวลาที่โปรแกรมเมอร์จะโชว์เทพ! ขั้นตอนนี้คือการเอาแบบแปลนจากขั้นตอนที่แล้ว มาลงมือเขียนโค้ดจริงๆ ให้มันกลายเป็นระบบที่จับต้องได้
เครื่องมือสำคัญของโปรแกรมเมอร์:
ภาษาโปรแกรม (Programming Language):
เหมือนภาษาที่เราใช้คุยกันนี่แหละ แต่เป็นภาษาที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ มีหลายภาษามาก เช่น Python, Java, JavaScript, C# แล้วแต่ว่าโปรแกรมที่เราจะสร้างมันเหมาะกับภาษาไหน
Framework และ Library:
Framework: เหมือนเป็น “โครงบ้านสำเร็จรูป” ที่มีโครงสร้างพื้นฐานมาให้แล้ว โปรแกรมเมอร์ก็แค่มาเติมส่วนที่เหลือ ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น มีกฎเกณฑ์ให้ทำตาม
Library: เหมือนเป็น “กล่องเครื่องมือ” ที่มีเครื่องมือสำเร็จรูปให้หยิบใช้ เช่น อยากทำกราฟสวยๆ ก็หยิบ Library ทำกราฟมาใช้ได้เลย ไม่ต้องเขียนเองทั้งหมด
Tech Stack:
คือชุดเทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้สร้างโปรแกรม แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ:
Frontend (หน้าบ้าน): คือส่วนที่คนใช้มองเห็นและกดเล่นได้โดยตรง (เช่น หน้าเว็บ แอปฯ มือถือ)
- ทำเว็บ (Web Application): ใช้ HTML (โครงสร้างเว็บ), CSS (แต่งสวย), JavaScript (ทำให้เว็บมีลูกเล่น) อาจจะมีตัวช่วยอย่าง React, Angular, Vue.js
- ทำแอปฯ มือถือ (Mobile Application):
- Native: เขียนแยกสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการเลย เช่น iOS (ใช้ Swift/Objective-C), Android (ใช้ Kotlin/Java) แอปฯ จะลื่นไหล แต่ต้องเขียนหลายรอบ
- Cross-Platform: เขียนครั้งเดียวใช้ได้หลายระบบ เช่น Flutter, React Native ประหยัดเวลา แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่เท่า Native เป๊ะๆ
Backend (หลังบ้าน): คือส่วนที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เรามองไม่เห็น เช่น การจัดการข้อมูล การคำนวณต่างๆ
API (Application Programming Interface): เหมือนเป็น “บริกร” คอยรับคำสั่งจากหน้าบ้าน (Frontend) ไปบอกหลังบ้าน (Backend) แล้วเอาผลลัพธ์กลับมาให้ เช่น เวลาเราล็อกอิน แอปฯ หน้าบ้านก็จะส่งข้อมูลผ่าน API ไปให้หลังบ้านเช็กว่าถูกไหม
ขั้นตอนนี้โปรแกรมเมอร์จะเขียนโค้ด ทดสอบเบื้องต้น แก้ไขข้อผิดพลาด จนกว่าจะได้โปรแกรมที่ทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้
ทดสอบ (Testing): จับผิดก่อนปล่อย!
สร้างเสร็จแล้วใช่ว่าจะปล่อยไปเลย! ต้องเอามาทดสอบกันก่อนว่ามันทำงานได้ถูกต้องจริง ๆ ไม่มีอะไรผิดพลาด (Bug) หรือทำงานเพี้ยนๆ (Error)
ประเภทการทดสอบหลักๆ:
Functional Testing (ทดสอบการทำงาน): เช็กว่าฟังก์ชันต่างๆ มันทำงานได้ตรงตามที่เราต้องการไหม เช่น ปุ่มกดแล้วไปถูกหน้าไหม คำนวณตัวเลขถูกหรือเปล่า
Unit Testing: ทดสอบเป็นส่วนเล็กๆ ทีละหน่วย
Integration Testing: ทดสอบว่าส่วนต่างๆ ที่เอามาประกอบกันมันทำงานด้วยกันได้ดีไหม
System Testing: ทดสอบทั้งระบบเลยว่าทำงานได้สมบูรณ์
Acceptance Testing: ให้คนใช้จริงๆ มาลองใช้ดูว่าโอเคไหม
Non-Functional Testing (ทดสอบคุณสมบัติอื่นๆ): เช็กเรื่องที่ไม่ใช่ฟังก์ชันโดยตรง เช่น
Performance Testing: โปรแกรมทำงานเร็วไหม รับคนใช้เยอะๆ พร้อมกันไหวหรือเปล่า
Security Testing: ปลอดภัยไหม มีช่องโหว่ให้คนมาแฮ็กได้หรือเปล่า
Usability Testing: ใช้งานง่ายไหม คนใช้ไม่งงใช่ไหม
Compatibility Testing: ใช้กับเครื่องหรือโปรแกรมอื่นๆ ได้ดีไหม
Maintenance Testing (ทดสอบหลังแก้ไข/อัปเดต): เวลาเราไปแก้ไขหรือเพิ่มอะไรใหม่ๆ เข้าไป ก็ต้องทดสอบซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าของที่แก้ไปมันไม่ทำให้ส่วนอื่นพัง
ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เหมือนเป็นการตรวจ QC ครั้งสุดท้ายก่อนส่งมอบ ถ้าเจออะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขให้เรียบร้อย
ปล่อยของ (Deployment): เอาไปใช้จริงกันเลย!
หลังจากทดสอบจนมั่นใจแล้วว่าโปรแกรมมันเจ๋งจริง ก็ถึงเวลาเอาไปติดตั้งให้คนอื่นได้ใช้กันจริงๆ แล้ว! ขั้นตอนนี้คือการเอาซอฟต์แวร์ที่เราทำเสร็จ ไปวางไว้ในที่ที่คนทั่วไปจะเข้ามาใช้งานได้ (เช่น เอาขึ้นเว็บเซิร์ฟเวอร์, ปล่อยขึ้น App Store/Play Store)
ขั้นตอนสำคัญๆ ตอนปล่อยของ:
เตรียมที่ทาง (Environment Setup): เตรียมเซิร์ฟเวอร์ ฐานข้อมูล หรืออะไรก็ตามที่โปรแกรมต้องใช้ให้พร้อม
ติดตั้งและตั้งค่า (Installation and Configuration): เอาโปรแกรมไปติดตั้ง แล้วก็ตั้งค่าต่างๆ ให้มันทำงานได้
ย้ายข้อมูล (Data Migration): ถ้ามีข้อมูลเก่าที่ต้องย้ายมาเข้าระบบใหม่ ก็ต้องทำขั้นตอนนี้อย่างระมัดระวัง
ตรวจเช็กอีกรอบ (Verification and Testing): พอติดตั้งเสร็จ ก็ต้องเช็กอีกทีว่ามันทำงานได้จริงๆ ในสภาพแวดล้อมจริง
กลยุทธ์การปล่อยของ (Deployment Strategies): มีหลายวิธี เช่น ค่อยๆ ปล่อยให้คนกลุ่มเล็กๆ ลองใช้ก่อน (Canary Release) หรือมีระบบสำรองสลับไปมา (Blue-Green Deployment) เพื่อลดความเสี่ยงถ้ามีปัญหา
DevOps คืออะไร? ในทีมใหญ่ๆ อาจจะมีทีมพัฒนา (Development) กับทีมดูแลระบบ (Operation) แยกกัน DevOps ก็คือแนวคิดที่ทำให้สองทีมนี้ทำงานร่วมกันได้ราบรื่นขึ้น ช่วยให้ปล่อยของได้เร็วขึ้น ดูแลรักษาง่ายขึ้น
ดูแลกันยาวๆ (Maintenance): ไม่ตัดหางปล่อยวัด!
ปล่อยโปรแกรมไปให้คนใช้แล้ว งานยังไม่จบนะเพื่อน! ยังต้องคอยดูแลมันต่อไปเรื่อยๆ เหมือนรถยนต์ที่ต้องคอยเช็กระยะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
สิ่งที่ต้องทำในการดูแล:
เก็บ Log (Logging): คือการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโปรแกรม เช่น มีคนทำอะไรบ้าง มี Error ตรงไหนบ้าง เวลาเกิดปัญหาจะได้ตามแกะรอยได้ถูก
เก็บสถิติ (Analytics): ดูว่าคนใช้โปรแกรมเรายังไงบ้าง ส่วนไหนใช้เยอะ ส่วนไหนไม่ค่อยมีคนใช้ เพื่อเอาข้อมูลมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
ปรับปรุงโค้ด (Code Refactor): บางทีโค้ดที่เขียนไว้นานๆ อาจจะเริ่มดูรก อ่านยาก หรือมีวิธีเขียนที่ดีกว่าเดิม ก็ต้องมีการเข้ามาจัดระเบียบโค้ดใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การดูแลรักษาก็เพื่อให้โปรแกรมของเรายังทำงานได้ดี ปลอดภัย และทันสมัยอยู่เสมอ ตอบโจทย์คนใช้ไปได้นานๆ
และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ SDLC แบบฉบับเข้าใจง่าย หวังว่าพอเห็นภาพรวมแล้วนะว่ากว่าจะเป็นโปรแกรมให้เราใช้กัน มันมีขั้นตอนอะไรบ้าง
อ้างอิง https://www.geeksforgeeks.org/software-development-life-cycle-sdlc/