โฉนดแผนที่ ก็คือวิวัฒนาการอีกก้าวของการออกโฉนดในประเทศไทย มีการวาดแผนที่เพื่อแสดงขอบเขตประกอบโฉนด
เป็นหัวใจสำคัญของการแสดงขอบเขตกรรมสิทธิ์ที่ดิน และแตกต่างจากเดิมทีการออกโฉนดนั้นเพื่อเก็บภาษี และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวาดแผนที่ประกอบสักเท่าใดนัก จนกระทั่งรัชกาลที่ 3 ได้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้าน ซึ่งมีการวาดขอบเขตแผนที่
ช่วงรัชกาลที่ 3 – 4 เป็นช่วงที่สยามต้องติดต่อกับประเทศตะวันตก ซึ่งมีแนวโน้มจะอยู่ภายใต้การล่าอาณานิคม จะเห็นได้ว่ามีการระแวดระวังในเรื่องการออกโฉนด มีประกาศข้อห้ามการซื้อขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้คนต่างชาติ เช่น ประกาศห้ามขายที่ดินภายในพระนคร และห่างกำแพงพระนครออกไปในรัศมี 200 เส้นแก่บุคคลต่างชาติที่อยู่ในสยามไม่ถึง 10 ปี ยกเว้นจะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาชาวต่างชาติใช้เงินซื้อแผ่นดิน
ยิ่งเมื่อถึงรัชกาลที่ 5 กระแสล่าอาณานิคมยิ่งรุนแรงชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เช่น อังกฤษที่รุกคืบพม่า ฝรั่งเศสครอบครองดินแดนอินโดจีน แนวคิดการทำแผนที่เพื่อประกาศเขตแดนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในสมัยนั้น โดยเฉพาะเมื่อราชอาณาจักรอังกฤษขออนุญาตให้กองสำรวจของอินเดีย (ภายใต้การนำของชาวอังกฤษ เนื่องจากสมัยนั้นอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ) เข้ามาสำรวจพื้นที่ประเทศไทยเพื่อทำแผนที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยินยอมตามคำขอของรัฐบาลอังกฤษ และเจรจาให้เจ้าหน้าที่ในทีมงานอังกฤษคนหนึ่งเข้ามารับราชการเพื่อทำแผนที่ของไทยด้วย
เจ้าหน้าที่คนนั้นชื่อ เจมส์ เอฟ. แมคคาร์ธี (James F. McCarthy) นักสำรวจรังวัดและนักทำแผนที่ชาวไอริช เข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2424 เริ่มทำแผนที่ในพื้นที่ที่เห็นว่ามีความจำเป็นในขณะนั้น และปีถัดมาได้ก่อตั้งโรงเรียนฝึกทำแผนที่ขึ้น ซึ่งต่อมาก็คือ กรมแผนที่ นายเจมส์ เอฟ. แมคคาร์ธี ได้รับยศเป็น ร้อยเอกพระวิภาคภูวดล ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมแผนที่
ซึ่งวิวัฒนาการการทำแผนที่ในสยามก็เจริญรุ่งเรือง กอปรกับ สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปอะไรหลายอย่าง ทั้งตัดถนนและคูคลองใหม่ ขยายเส้นทางการค้าขายทั้งทางบกและทางน้ำ เปิดโอกาสให้คนจับจองที่ดินและทำโฉนดเป็นของราษฎรนี้ นับเป็นการเริ่มต้นให้อำนาจแก่ประชาชนของรัฐด้วย มิใช่ที่ดินทุกที่เป็นของหลวงเหมือนอย่างสมัยก่อน และมีการออกตราจองให้
ตราจอง เป็นหนังสือสำคัญอนุญาตให้จองที่ดิน เพื่อให้ผู้ขอเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินเข้าทำนา ออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการแลเสนากํานัน อำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) จุดประสงค์ยังคงเป็นเพื่อการเก็บค่าอากรนาเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีตราจองที่ออกเป็นกรณีพิเศษ คือ ออกให้ตามประกาศขุดคลอง จุลศักราช 1239 (ร.ศ.96 พ.ศ.2420) กำหนดว่า ถ้าจะไปขุดคลองขึ้นตำบลใด ราษฎรทั้งปวงที่ต้องการที่ดิน ถ้าไม่ออกเงินก็ให้ออกแรงช่วย และข้าหลวงจะได้ออกตราจองให้แก่ราษฎรผู้นั้น คลองที่ขุด ได้แก่ คลองในทุ่งหลวง คลองรังสิต คลองประเทศบุรีรมย์ คลองนครเขื่อน เป็นต้น
และยังมี พระราชบัญญัติออกตราจองที่ดินชั่วคราว ร.ศ.121 (พ.ศ.2445) ต่อมามีประกาศเปลี่ยนเป็นพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) ตราจองนี้เมื่อได้รับการออกโฉนดจะเรียกว่า “โฉนดตราจอง” ซึ่งจะมีเพียงแค่ 4 จังหวัดเท่านั้นคือ พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย และอุตรดิตถ์ แต่อย่างไรก็ดี ในภายหลังจะพบหนังสือสำคัญ “โฉนดตราจอง” ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ด้วย เพราะมีการโอนเขตจังหวัดข้างเคียงมารวมกับจังหวัดนครสวรรค์
เมื่อถึงเวลาที่คิดว่ามีความชำนาญเรื่องการทำแผนที่เพียงพอ สยามก็ออกโฉนดแผนที่ เป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ออกตามประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 120 (พ.ศ.2444) และออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) เรียกว่า “โฉนดแผนที่” เพราะมีการวาดแผนที่ประกอบไว้ที่หนังสือสำคัญ ซึ่งแตกต่างเป็นอย่างมากกับ โฉนดสวน โฉนดป่า โฉนดตราแดง ซึ่งไม่มีแผนที่หลังโฉนด
ซึ่งจุดนี้นับเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเดิมทีตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นโฉนดเพื่อเก็บภาษีเป็นหลัก แต่ในรัชกาลที่ 5 ออกโฉนดเพื่อแสดงสิทธิในที่ดินและให้อยู่ตลอดไป หรือก่อนหน้านั้นจะมี ใบเหยียบย่ำ – ไม่มีรูปแบบชัดเจน และเนื่องจากไม่มีขอบเขตแน่ชัดจึกเกิดปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนกัน และมีอายุครอบครองที่ดิน 1 ปี ถ้าเกินกว่านั้นต้องไปทำเป็นโฉนดตราจองมีอายุครอบครองที่ดิน 3 ปี (แต่ต่ออายุครอบครองไปอีกได้
ส่วน โฉนด โฉนดป่า มีไว้เพื่อเก็บอากรเท่านั้น ส่วนโฉนดตราแดง ก็เพียงการถือครองที่ดินได้ 10 ปี โดยให้นายแขวงเป็นผู้รับรองการเปลี่ยนแปลงสิทธิได้เพียงผู้เดียว (ออกในสมัยพระยาสุรศักดิ์มนตรีดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ในปี พ.ศ. 2400 และ พ.ศ. 2425 เท่านั้น)
การปฏิรูปเรื่องกฎหมายในรัชกาลที่ 5 จึงเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นรากฐานของโฉนดในปัจจุบัน กรมแผนที่จึงมีบทบาทสำคัญในด้านการปกครองและการทำทะเบียน โดยเฉพาะการออกออกโฉนดที่ดินเมืองกรุงเก่าในปี ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2444) เป็นโครงการนำร่อง
แนวคิดการออกโฉนดในปีร.ศ. 130 นี้ เป็นรากฐานของการออกโฉนดในปัจจุบันมี การวาดแผนที่เพื่อประกอบโฉนด โดยเจ้าหน้าที่จะออกรังวัด กำหนดเขตเป็น “แผนที่ระวาง” โดยมีคนจากกรมแผนที่มาเป็นผู้จัดทำ ผู้ครอบครองที่ดินจะอยู่ตอนชี้เขตที่ดิน โดยข้าหลวงเกษตรจะปักหลักเขตพร้อมทั้งออกโฉนดที่ดิน และนำระบบทอร์เรนส์ (Torrens System) ซึ่งเป็นต้นแบบการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนที่ดินในปัจจุบันมาใช้
โฉนดที่ดินฉบับแรกของไทย
โฉนดที่ดินฉบับแรกของไทย คือโฉนดเลขที่ 1 หน้าที่ 1 เลขที่ดิน 117 ระวาง 17 ต 3 อ ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพระราชวัง แขวงเมืองกรุงเก่า เมืองกรุงเก่า (ต่อมาอำเภอพระราชวัง แขวงเมืองกรุงเก่า เปลี่ยนสถานะเป็นอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) มีเนื้อที่ 91 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา มีพระนาม “สมเด็จพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์” เป็นเจ้าของ
กระทรวงเกษตราธิการ ได้ทูลเกล้าถวายแก่พระองค์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) ณ พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะ โดยมีพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าไปทำกินในที่ดินแปลงนี้โดยเสียค่าเช่ารายปี ต่อมาอยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้ได้โอนให้กับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อปีพ.ศ. 2533 ปัจจุบันแบ่งเป็น 16 แปลง มีผู้เช่า 10 ราย อัตราค่าเช่าไร่ละ 32 บาทต่อปี อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อ่านเพิ่ม: วิวัฒนการการออกโฉนดในประเทศไ