การประเมินราคาทรัพย์สินในประเทศไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และมีการกำกับพอสมควร อย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต) ก็มีการออก “มาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ในประเทศไทย” (อ่านที่ https://publish.sec.or.th/nrs/6744a2.pdf) นอกจากนี้ยังมีสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย (The Valuers Association of Thailand) หรือ มูลนิธิประเมินค่า-นายหน้าแห่งประเทศไทย (องค์กรสาธารณประโยชน์) เป็นต้น
แต่ในบล็อกนี้ ต้องการพูดถึงการประเมินราคาทรัพย์สินแบบรวม หรือ Mass Appraisal เป็นหลัก ดังนั้นขอพูดถึงหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่นี้ก็คือ กรมธนารักษ์ เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่ทำหน้าที่ประเมินราคาที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และ ห้องชุด
รู้สึกประหลาดใจอยู่พอประมาณที่การประเมินราคาทรัพย์สินเป็นหน้าที่ของกรมธนารักษ์ แทนที่จะเป็นกรมที่ดิน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าระบบการบริหารราชการวางกระบวนการทำงานอย่างไร เพราะนึกไม่ออกเลยว่าข้อมูลที่ใช้ในการประเมินทรัพย์สินล้วนมาจากกรมที่ดิน ทำให้ถึงให้กรมธนารักษ์ทำ
ท่านสามารถค้นหาราคาประเมินได้ที่ ประเมินราคาทรัพย์สินอยู่ที่ https://assessprice.treasury.go.th/ และมี กองประเมินราคาทรัพย์สิน https://dep-assess.treasury.go.th/th/ ทำหน้าที่ประเมินราคาทรัพย์สิน
ประเด็นที่อยากพูดถึงในบล็อกนี้ก็คือ แนวคิดและวิธีประเมินราคาแบบรวม และเนื่องจากเป็นหน่วยงานราชการ จึงมีกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบ วิธีการหลักเกณฑ์ เผยแพร่เป็นสาธารณะ พอจะหยิบมาเป็นแนวทางได้
ก่อนอื่น กลับมาที่กระบวนการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ถ้าใครเคยเห็นรายงานการประเมินจะเห็นกระบวนการประมาณนี้
- วัตถุประสงค์ในการประเมินราคา
- ทรัพย์สินที่ประเมิน (ทรัพย์สินที่กำลังประเมินราคา)
- วันที่ประเมินราคา
- รายละเอียดกรรมสิทธิ์
- รายละเอียดของทรัพย์สิน (ที่ตั้ง สภาพตลาดทรัพย์สิน สภาพการซ่อมแซม รายละเอียดสัญญาเช่า และอื่นๆ)
- หลักเกณฑ์ในการประเมินราคา
- ภาคผนวก (แผนผังที่ตั้ง แผนผังชั้น ภาพถ่ายทรัพย์สิน รวมทั้งภายใน ภายนอก และบริเวณโดยรอบ)
- สำเนาเอกสาร (สัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิ์ และอื่นๆ)
ดูเหมือนว่า การประเมินราคาทรัพย์สินในประเทศไทย ใช้หลักพื้นฐานก็ไม่ต่างกัน (ซึ่งก็ไม่ควรต่าง เพราะเป็นเรื่องของมาตรฐานทั่วไปที่พึงมี)
ซึ่งเราพิจารณาบางหัวข้อได้ดังนี้
วัตถุประสงค์
พื้นฐานของการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน อยู่ที่ “วัตถุประสงค์”, “ทรัพย์สินที่ประเมิน” และ “ระยะเวลา” ซึ่งจะเป็นตัวกำหนด “วิธีการ” หรือกระบวนการในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน สำหรับวัตถุประสงค์สำหรับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินภาครัฐ จะต้องดูจากกฎหมายหรือระเบียบต่าง ๆ โดยกฎหมายสูงสุดที่เกี่ยวกับการประเมินราคาทรัพย์สินที่พบก็คือ พระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๒ (เดิมที การประเมินราคาทรัพย์สินของภาครัฐจะอาศัยมาตรา ๑๐๕ ในประมวลกฎหมายที่ดิน)
ซึ่งในพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนด วัตถุประสงค์ไว้ใน มาตรา ๕ ความว่า
การประเมินราคาทรัพย์สินและการจัดทาบัญชีราคาประเมินทรัพย์สินตามพระราชบัญญัตินี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นของรัฐ
ทรัพย์สินที่ประเมิน
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัติดังกล่าว ระบุว่า
- “ทรัพย์สิน” หมายความว่า ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด
- “ที่ดิน” หมายความว่า พื้นดิน และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือที่มีน้าด้วย
- “สิ่งปลูกสร้าง” หมายความว่า โรงเรือน อาคาร ตึก หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่บุคคลอาจเข้าอยู่อาศัยหรือใช้สอยได้ หรือที่ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม หรือพาณิชยกรรมแต่ไม่หมายความรวมถึงห้องชุด และให้หมายความรวมถึงแพที่บุคคลอาจใช้อยู่อาศัยได้หรือที่มีไว้เพื่อหาผลประโยชน์ด้วย
- “ห้องชุด” หมายความว่า ห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
วันที่ประเมินราคา
ส่วนเรื่องระยะเวลา ก็ปรากฏใน มาตรา ๑๙ ความว่า
ให้คณะกรรมการประจาจังหวัดประกาศบัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่จัดทาตามมาตรา ๑๘ ทุกรอบสี่ปี โดยต้องประกาศล่วงหน้าก่อนวันเริ่มใช้บัญชีเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มใช้ ณ วันที่ ๑ มกราคม ของปีที่คณะกรรมการกำหนด
การประเมินราคาทรัพย์สินในประเทศไทย ของภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ คือ ใช้เป็นฐานเกณฑ์อ้างอิงหรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษีอากร ซึ่งปัจจุบันที่เห็นหลัก ๆ คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กับ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดิน
โดยมีระยะเวลา 4 ปี
มีวัตถุ
เก็บข้อมูลอะไรบ้าง?
เมื่อทราบวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่มีผลบังคับ เราก็มาดูต่อว่า แล้ว วิธีการจะใช้วิธีใด ซึ่งในกฎกระทรวงเรื่อง การกำหนดราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง การจัดทำบัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง และแผนที่ประกอบการประเมินราคาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๖๓ (เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๑๐๑ ก ราชกิจจานุเบกษา ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓) กล่าวถึงวิธีการไว้ดังนี้
ข้อ ๒ ให้คณะกรรมการประจำจังหวัดประกาศกำหนดพื้นที่และกำหนดระยะเวลาที่จะดำเนินการสำรวจที่ดิน และจัดให้มีการสำรวจสภาพที่ดินในพื้นที่ที่จะกาหนดราคาประเมิน รวมทั้งสืบหาราคาตลาดของที่ดินที่จะกำหนดราคาประเมินและที่ดินที่ใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยรายละเอียด ดังต่อไปนี้
(๑) ตำแหน่งที่ตั้งของแปลงที่ดิน
(๒) ลักษณะรูปแปลงที่ดิน
(๓) การใช้ประโยชน์ที่ดิน
(๔) สภาพแวดล้อม
ประเมินอย่างไร?
คำถามต่อมา แล้วหน่วยงานภาครัฐ ประเมินราคาที่ดินอย่างไร ถ้าพิจารณาจากกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน
ข้อ ๔ การกำหนดราคาประเมินที่ดิน ให้ใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาด ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลราคาตลาดหรือมีแต่ไม่เพียงพอที่จะใช้ประเมินราคาได้ ให้ใช้วิธีรายได้ และพิจารณาวิธีการในการประเมินราคาที่ดินในแต่ละรูปแบบของวิธีรายได้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
ในกรณีที่ดินที่ทำการประเมินมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในแปลงที่ดิน การกำหนดราคาประเมินที่ดินให้หักราคาสิ่งปลูกสร้างออกก่อนกาหนดราคาประเมินที่ดินนั้น
ข้อ ๑๑ ให้คณะกรรมการประจาจังหวัดกำหนดราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างจากการวิเคราะห์และคานวณราคาจากตารางปริมาณงานก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานก่อสร้าง ตามแบบมาตรฐานสิ่งปลูกสร้างแต่ละประเภทและแบบตารางปริมาณงานก่อสร้างที่คณะกรรมการกาหนดขึ้น
จากสองข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่า การประเมินราคาทรัพย์สินภาครัฐ จะขึ้นอยู่กับ 3 วิธีการหลัก ก็คือ
- เปรียบเทียบราคาตลาด
- วิเคราะห์จากรายได้
- วิเคราะห์จากต้นทุน
วิธีเปรียบเทียบตลาด (Market Comparison Approach)
วิธีนี้เป็นแนวคิดพื้นฐานว่า มูลค่าของทรัพย์ให้ดูจากราคาทรัพย์ที่คล้ายคลึงกันในบริเวณใกล้เคียงกัน
เช่น ถ้าเราจะประเมินมูลค่าที่ดินแปลง ก. แล้วในบริเวณซอยเดียวกัน ห่างไปไม่กี่เมตร มีแปลง ข. ที่รูปร่างที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงกัน เพิ่งซื้อขายกันไปไม่กี่วันก่อน ก็พอจะอนุมานได้ว่า หากซื้อขายที่ดินแปลง ก. ในวันนี้ ก็จะได้ประมาณนี้
เรื่องนี้จึงมีประเด็นเรื่องช่วงเวลามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะสมมติว่าเราจะประเมินราคาทรัพย์วันที่ 1 มกราคม 2600 แต่เราไปเอาราคาซื้อขาย แม้จะอยู่ใกล้เคียงกัน แต่ขายเมื่อปี 2590 หรือผ่านไปแล้ว 10 ปี ก็คงไม่ได้ จึงอนุมานได้ว่า การประเมินราคาตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งมีกำหนด 4 ปีครั้ง จะต้องใช้ข้อมูลซื้อขายย้อนหลังไปประมาณ 4 ปี นับจากวันกำหนดราคาประเมิน และไม่ควรนานเกินไปกว่านั้น
และจะโยงกลับไปถึง ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกันว่าเก็บข้อมูลอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบกัน
โปรดสังเกตว่า ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้แยกการประเมินสิ่งปลูกสร้างและที่ดินออกจากกัน
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เวลาคนหนึ่งคนตัดสินใจซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง คนซื้อจะแยกราคาของสิ่งปลูกสร้างจากที่ดินหรือไม่? โปรดนึกถึงอาคารพาณิชย์ ซึ่งดูจะเป็นการขายทำเลที่ตั้งและลักษณะอาคารพร้อมกัน หรือในบางสิ่งปลูกสร้างที่มีอาจจะต้องนำไปปรับปรุงใหม่ หรืออาจจะต้องทำลายทิ้งเพื่อสร้างใหม่
แต่โดยหลัก ๆ แล้ว สิ่งสำคัญคือการคัดเลือกทรัพย์สินที่จะนำมาเปรียบเทียบ เช่น ขนาดและรูปร่างของที่ดินและอาคาร
วิธีแปลงรายได้เป็นมูลค่า (Income Approach)
ด้วยสูตรที่ใช้กันโดยทั่วไป
V = I / R
V คือ มูลค่าทรัพย์สิน
I คือ รายได้สุทธิ
R คืออัตราผลตอบแทน
การใช้วิธีรายได้ น่าจะใช้สำหรับแปลงเฉพาะที่มีรายได้ เช่นอาคารหรือที่ดินที่ไม่สามารถใช้ราคาตลาดได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวเช่น โรงแรม โรงมหรสพ เป็นต้น
วิธีวิเคราะห์มูลค่าจากต้นทุน (Cost approach to value)
ดูเหมือนว่าทางภาครัฐจะใช้การวิเคราะห์มูลค่าจากต้นทุนเฉพาะสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น
นี่คือแนวทางการประเมินราคาทรัพย์สินในประเทศไทย ที่กระทบกับทุกคนเพราะเป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
Project
MASS APPRAISAL
- Mass Appraisal Method
- การประเมินราคาทรัพย์สินในประเทศไทย
Discover more from Data Revol
Subscribe to get the latest posts sent to your email.